- สิ่งพิมพ์
การศึกษาของทีอ๊อกแซน (Teoxane) เกี่ยวกับปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นช้าต่อฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิก
การศึกษาล่าสุดของทีอ๊อกแซน (Teoxane) ซึ่งได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ Dermatology and Therapy Journal ได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง และการจัดการปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นช้า (LORs) ต่อฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิก ปฏิกิริยาเหล่านี้อาจเกิดขึ้นภายหลังจากการฉีดฟิลเลอร์หลายเดือน ซึ่งประกอบด้วยอาการบวม การอักเสบ และการติดเชื้อ งานวิจัยเน้นให้เห็นถึงความสาคัญของการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ป่วย ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง และสุขลักษณะที่เข้มงวดเพื่อลดความเสี่ยงให้เกิดขึ้นอย่างน้อยที่สุด พร้อมทั้งเสนอแนวทางที่เป็นประโยชน์ให้แก่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้มั่นใจได้ถึงการดูแลความงามอย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น
เพื่อแสวงหาความเป็นเลิศทางการแพทย์ขั้นสูงและความปลอดภัยในด้านเวชศาสตร์ความงาม ทีอ๊อกแซน (Teoxane) จึงได้ตีพิมพ์เผยแพร่งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในวารสารวิชาการ Dermatology and Therapy Journal โดยเจาะลึกถึงสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง และการจัดการปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นช้าต่อฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิก
ฟิลเลอร์ใต้ผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิก (HA) กลายเป็นที่นิยมสาหรับหัตถการความงาม ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นวิธีการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการเสริมความงามให้แก่ใบหน้าและลดเลือนริ้วรอย อย่างไรก็ตาม ฟิลเลอร์เหล่านี้อาจทาให้เกิดปฏิกิริยาที่ไม่คาดคิดในบางครั้งเช่นเดียวกับการรักษาทางการแพทย์อื่น ๆ เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เชี่ยวชาญจึงได้ดาเนินการศึกษาปฏิกิริยาของร่างกายที่อาจเกิดขึ้นภายหลังจากการฉีดฟิลเลอร์หลายเดือนหรือที่เรียกว่า ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นช้า (LORs)
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นช้า (LORs) เป็นผลกระทบรุนแรงที่อาจปรากฏหรือแสดงอาการภายหลังจากได้รับการฉีดฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิกไปแล้วสามถึงสี่เดือน บางกรณีอาจปรากฏตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากทาหัตถการ โดยปฏิกิริยาเหล่านี้ประกอบด้วยอาการบวม การอักเสบ ก้อนเนื้อใต้ผิวหนัง ตลอดจนการติดเชื้อ
คณะกรรมการประเมินภาวะแทรกซ้อนและความเสี่ยง (CARE) ซึ่งเป็นกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญด้วยเวชศาสตร์ความงามที่ได้รับ การแต่งตั้งผ่านการพิจารณาโดยทีอ๊อกแซน (Teoxane) ได้ดาเนินการศึกษาเกี่ยวกับสาเหตุของปฏิกิริยาเหล่านี้ โดยพบสาเหตุหลัก 3 ประการ ได้แก่:
- ประการแรก โครงสร้างของฟิลเลอร์เองอาจเป็นปัจจัยสาคัญ ฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิก (HA) บางชนิด โดยเฉพาะฟิลเลอร์ที่มีน้าหนักโมเลกุลต่า อาจกระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้
- ประการที่สอง การติดเชื้ออาจเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการฉีดฟิลเลอร์หรือถูกกระตุ้นจากสภาวะร่างกายที่ไม่เกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
- ประการที่สาม ปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคแพ้ภูมิตนเองหรือการติดเชื้อไวรัส อาจทาให้ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อฟิลเลอร์รุนแรงขึ้น
ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นช้า การพิจารณาคุณสมบัติของผู้ป่วยอย่างละเอียดจึงเป็นสิ่งสาคัญ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการพิจารณาประวัติทางการแพทย์อย่างละเอียดและตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ป่วยได้ทาความเข้าใจถึงกระบวนการและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น แพทย์ผู้ทาหัตถการควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยอย่างเคร่งครัดระหว่างการทาหัตถการฉีดฟิลเลอร์ หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ แพทย์ควรให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลรักษาผิวหนังบริเวณที่ได้รับการทาหัตถการ
หากผู้ป่วยมีปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นช้า แนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เป็นไปได้ ปฏิกิริยาที่ไม่เกี่ยวข้องกับการอักเสบสามารถรักษาได้โดยใช้สารไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ย่อยสลายฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิก ส่วนปฏิกิริยาที่เกิดการอักเสบร่วมด้วยสามารถจัดการได้ด้วยการสังเกตอาการและ/หรือการให้ยาสเตียรอยด์ทางปาก อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อจาเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ และบางครั้งอาจจาเป็นต้องใส่สายระบายผ่านผิวหนังบริเวณที่เกิดการติดเชื้อ
คณะกรรมการ CARE ได้กาหนดแนวทางเพื่อช่วยเหลือแพทย์ผู้ทาหัตถการในการป้องกันและจัดการปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นช้าอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประกอบด้วยแบบสอบถามประเมินความเสี่ยงเพื่อประเมินว่าผู้ป่วยมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับการฉีด ฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิกหรือไม่ รวมถึงแนวทางการดูแลรักษาเพื่อเป็นแนวปฏิบัติสาหรับแพทย์ผู้ทาหัตถการในการจัดการกับปฏิกิริยาดังกล่าว
โดยสรุป แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิกจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นวิธีการที่ปลอดภัย แต่การตระหนักถึงความเป็นไปได้ของปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นช้าก็เป็นสิ่งสาคัญทั้งสาหรับผู้ป่วยและแพทย์ผู้ทาหัตการ ดังนั้นการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ป่วยอย่างละเอียด การใช้เทคนิคการทาหัตถการที่ถูกต้อง และการจัดการที่เหมาะสม จึงช่วยลดความเสี่ยงได้ เพื่อให้ การรักษามีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นสาหรับทุกคน
คุณสามารถอ่านบทความฉบับเต็มได้ที่: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/38907876/